top of page

ขั้นตอนการตรวจน้ำอสุจิ ต้องเตรียมตัวอย่างไร? วิเคราะห์ผลอย่างไร? (Semen analysis)

อัปเดตเมื่อ 1 เม.ย. 2566

เพราะปัญหามีลูกยากมากกว่า 30% มาจากฝั่งฝ่ายชาย ดังนั้นการตรวจน้ำอสุจิ เพื่อดูคุณภาพและปริมาณของสเปิร์มจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม แล้วการตรวจน้ำอสุจิหรือตรวจสเปิร์มต้องทำเมื่อไหร่? ขั้นตอนการตรวจน้ำอสุจิต้องอย่างไร? ต้องแปลผลอย่างไร? บทความนี้มีคำตอบให้คุณค่ะ


การตรวจวิเคราะห์น้ำอสุจิคืออะไร?


การตรวจน้ำอสุจิหรือการตรวจสเปิร์ม เป็นการตรวจส่วนประกอบของน้ำอสุจิ รวมถึงคุณภาพโดยรวมของสเปิร์ม โดนการตรวจน้ำอสุจิจะวิเคราะห์ 3 อย่างหลักๆ คือปริมาณสเปิร์ม รูปร่างของสเปิร์ม และการเคลื่อนที่ของสเปิร์ม ทั้งยังมองหาภาวะการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยประโยชน์จากการตรวจวิเคราะห์น้ำอสุจิ คือ ช่วยในการหาสาเหตุภาวะมีบุตรยาก และติดตามหลังการทำหมันชายเพื่อดูว่ายังมีสเปิร์มในน้ำอสุจิหรือไม่


เมื่อไหร่ควรตรวจน้ำอสุจิ?


1. เมื่อพยายามมีลูกโดยมีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอมามากกว่า 1 ปี แล้วยังไม่สำเร็จในคนที่ภรรยาอายุน้อยกว่า 35 ปี

2. เมื่อพยายามมีลูกโดยมีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอมามากกว่า 6 เดือน แล้วยังไม่สำเร็จในคนที่ภรรยาอายุมากกว่า 35 ปี 3. ตรวจหลังทำหมันชาย เพื่อความมั่นใจว่าไม่มีสเปิร์มในน้ำอสุจิ โดยมักแนะนำให้ตรวจเดือนละครั้งเป็นเวลา 3 เดือนเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีสเปิร์มออกมาให้น้ำอสุจิ 4. สามารถตรวจได้เมื่อเริ่มวางแผนมีลูก ยิ่งตรวจเร็วจะยิ่งสามารถวิเคราะห์ปัญหาเรื่องการมีบุตรได้เร็ว


การเตรียมตัวก่อนเก็บน้ำอสุจิเพื่อส่งตรวจ


การเตรียมตัวก่อนไปเก็บน้ำอสุจิเพื่อตรวจคุณภาพของสเปิร์มเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากจะส่งผลต่อความถูกต้องของการแปลผล โดยขั้นตอนการเตรียมตัวคือ

  1. งดการหลั่งอสุจิ 2-7 วัน ก่อนการตรวจน้ำอสุจิ

  2. หลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติด หรือการดื่มแอลกอฮอร์ 2-5 วัน

  3. งดการทานยาสมุนไพรต่างๆ 2-5 วัน

  4. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

ขั้นตอนการตรวจน้ำอสุจิ

  1. ปัสสสาวะก่อนการเก็บตัวอย่าง ล้างทำความสะอาดอวัยวะเพศด้วยสบู่และน้ำสะอาด

  2. ล้างมือให้สะอาด

  3. ใช้ภาชนะสำหรับเก็บตัวอย่างน้ำอสุจิ แบบปราศจากเชื้อ

  4. พยายามเก็บน้ำอสุจิทั้งหมดในภาชนะ หากน้ำอสุจิหกออกจากภาชนะ ควรแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ทราบ เนื่องจากมีความสำคัญกับการแปลผล

  5. เมื่อเก็บเรียบร้อย ให้ส่งห้องปฎิการทันที

กรณีเก็บตัวอย่างจากที่บ้านสามารถทำได้ แต่มีข้อจำกัดคือ

  • ต้องใช้ภาชนะเก็บตัวอย่างที่ปราศจากเชื้อเท่านั้น

  • ห้ามเก็บตัวอย่างผ่านถุงยางอนามัยทั่วไป

  • ควรส่งตรวจทางห้องปฎิบัติการภายใน 1 ชั่วโมง

  • เก็บตัวอย่างในอุณหภูมิ 20-37 องศาเซลเซียส

การแปลผลตรวจน้ำอสุจิ


1. ปริมาณน้ำอสุจิ (Semen volume) : เป็นผลรวมของน้ำอสุจิและสเปิร์ม ค่าปกติคือ มากกว่า 1.5 ซีซี หากมีปริมาณน้อยอาจมาจากการอุดตันของท่อนำอสุจิ หรือส่วนใดส่วนหนึ่งในระบบสืบพันธุ์ผิดปกติ


2. ความเป็นกรด-ด่าง (ค่า pH) : ค่าปกติคือ มากกว่า 7.2 ถ้ามีค่าน้อยกว่า 7 ร่วมกับปริมาณน้ำอสุจิน้อย อาจบ่งบอกว่ามีการอุดตันของท่ออสุจิบางส่วน


3. จำนวนตัวของอสุจิ : โดยจะแบ่งออกเป็น 2 อย่างคือ จำนวนสเปิร์มรวม และ ปริมาณสเปิร์มต่อ 1 ซีซี โดยค่าปกติคือ

  • จำนวนสเปิร์มรวม (Total sperm number) มากกว่า 39 ล้านตัว

  • จำนวนสเปิร์มต่อ 1 ซีซี (Sperm concentration) มากกว่า 15 ล้านตัว

4. การเคลื่อนที่ของสเปิร์ม (Sperm motility) : สเปิร์มอาจมีทั้งกลุ่มที่เคลื่อนไหวดี เคลื่อนไหวน้อย หรือไม่เคลื่อไหว โดยจะแบ่งออกเป็น 2 อย่างคือ เปอร์เซ็นต์สเปิร์มที่เคลื่อนที่ได้ดี และเปอร์เซ็นต์สเปิร์มที่เคลื่อนที่ได้ทั้งหมด (ทั้งดีและไม่ดี) โดยค่าปกติคือ

  • เปอร์เซ็นต์สเปิร์มที่เคลื่อนที่ได้ดี (Progressive motility) มากกว่า 32%

  • เปอร์เซ็นต์สเปิร์มที่เคลื่อนที่ได้ทั้งหมด (Total motility) มากกว่า 40%

5. รูปร่างของสเปิร์ม (Sperm morphology): เป็นการดูรูปร่างของสเปิร์มว่าปกติหรือไม่ โดยต้องดูทั้งส่วนหัว ส่วนคอ และส่วนหาง โดยค่า โดยสเปิร์มควรมีรูปร่างปกติมากกว่า 4%


6.การมีชีวิตของสเปิร์ม (Vitality): ดูว่าในกลุ่มสเปิร์มที่ไม่เคลื่อนไหวนั้น ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ โดยค่าปกติอยู่ที่ 58%


ตารางแสดงค่าปกติในการแปลผลตรวจน้ำอสุจิ


ภาพจาก : https://www.cambridge.org



หากค่าผิดปกติหมายถึงอะไร?


หากผลตรวจสเปิร์มมีความผิดปกติ จะส่งผลให้โอกาสที่สเปิร์มจะเดินทางไปถึงไข่ หรือเข้าไปปฎิสนธิกับไข่ทำได้ยากขึ้น อาจส่งผลให้โอกาสมีลูกด้วยวิธีธรรมชาติประสบความสำเร็จได้ยากขึ้น ซึ่งการผิดปกติของผลตรวจสเปิร์มอาจมาได้จากหลายปัจจัยเช่น

  • ความผิดปกติของอวัยวะสืบพันธุ์

  • การติดเชื้อ

  • ระดับฮอร์โมนเพศผิดปกติ

  • ได้รับสารรังสีต่างๆ

  • โรคประจำตัวอื่นๆ

ซึ่งแพทย์อาจจะทำการรักษา หรือตรวจเพิ่มเติมตามความเหมาะสมต่อไป และหากจำนวนสเปิร์มมีน้อยมาก หรือรูปร่างผิดปกติมาก อาจพิจารณาใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยเช่น การฉีดสเปิร์มเข้าไปผสมกับไข่โดยตรง หรือ Intracytoplasmic sperm injection (ICSI) เพื่อเพิ่มโอกาสการมีลูกมากขึ้น


หวังว่าบทความนี้คงเป็นประโยชน์ต่อทุกคนนะคะ อย่าลืมแชร์บทความนี้ให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ ด้วยนะคะ แล้วมาติดตามกันใหม่ในบทความต่อไปค่ะ






Tantawan Prasopa. MD (พญ. ทานตะวัน พระโสภา) drnoithefamily


#drnoithefamily #semenanalysis #spermanalysis #ตรวจน้ำอสุจิ #ตรวจสเปิร์ม #ตรวจภาวะมีบุตรยาก #ตรวจน้ำอสุจิทำอย่างไร #อยากมีลูก #เทคนิคมีลูกง่าย #เตรียมตัวก่อนท้อง #เตรียมพร้อมก่อนตั้งครรภ์ #วางแผนก่อนท้อง #วางแผนมีลูก #อยากมีลูกทำอย่างไร #แก้ปัญหามีลูกยาก

bottom of page